การสอบ PISA หรือ Programme for International Student Assessment เป็นการสอบระดับนานาชาติที่จัดขึ้นโดยองค์การเพื่อความร่วมมือและพัฒนาทางเศรษฐกิจ (OECD) มีวัตถุประสงค์เพื่อวัดทักษะและความรู้ของนักเรียนอายุ 15 ปีในสามด้านหลัก ได้แก่ การอ่าน การคำนวณ และวิทยาศาสตร์ จุดเด่นของการสอบ PISA คือการวัดทักษะที่สำคัญในการดำรงชีวิตและการทำงานในโลกปัจจุบัน ไม่ใช่แค่ความรู้ที่เรียนในห้องเรียนเท่านั้น
ประวัติการสอบ PISA
การสอบ PISA เริ่มต้นขึ้นในปี 2000 โดยมีเป้าหมายเพื่อให้ข้อมูลที่เป็นมาตรฐานสากลในการวัดผลการศึกษา จัดสอบทุก 3 ปี และจนถึงปัจจุบันมีประเทศเข้าร่วมมากกว่า 80 ประเทศทั่วโลก PISA ได้รับการยอมรับว่าเป็นมาตรฐานที่เชื่อถือได้ในการประเมินทักษะและความรู้ของนักเรียนในระดับนานาชาติ การสอบนี้ไม่เพียงแค่ช่วยในการประเมินระดับการศึกษาของแต่ละประเทศ แต่ยังช่วยให้เข้าใจถึงแนวโน้มและการเปลี่ยนแปลงทางการศึกษาในระดับสากล
โครงสร้างการสอบ PISA
การสอบ PISA ประกอบด้วยสามส่วนหลัก ได้แก่ การอ่าน การคำนวณ และวิทยาศาสตร์ โดยแต่ละส่วนมีการออกแบบคำถามที่หลากหลายและครอบคลุมทักษะที่จำเป็นในชีวิตประจำวัน
การอ่าน (Reading Literacy)
การอ่านใน PISA ไม่ได้หมายถึงแค่การอ่านออกเสียงหรืออ่านให้เข้าใจเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการวิเคราะห์และตีความข้อมูล การค้นหาข้อมูลที่ต้องการ และการประเมินข้อมูลในเชิงวิจารณ์ รูปแบบคำถามหลากหลาย ทั้งแบบเลือกตอบและแบบเปิดให้เขียนคำตอบเอง ตัวอย่างคำถาม เช่น ให้อ่านบทความหรือกราฟและตอบคำถามเกี่ยวกับข้อมูลที่ได้อ่าน คำถามจะเน้นให้ผู้สอบคิดวิเคราะห์และตีความข้อมูลที่ซับซ้อนจากแหล่งข้อมูลหลากหลาย เช่น บทความ ข่าวสาร หรือกราฟิก
การคำนวณ (Mathematical Literacy)
การคำนวณใน PISA ไม่ได้เน้นเพียงแค่การแก้สมการหรือทำโจทย์เลขเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการนำความรู้ทางคณิตศาสตร์มาใช้ในชีวิตประจำวัน เช่น การวิเคราะห์ข้อมูล การคาดการณ์ และการแก้ปัญหาในสถานการณ์จริง คำถามในส่วนนี้มีทั้งแบบเลือกตอบและแบบเปิดให้เขียนคำตอบเอง ตัวอย่างคำถาม เช่น การคำนวณค่าใช้จ่ายทั้งหมดในการจัดงาน หรือการวิเคราะห์กราฟเศรษฐกิจ คำถามจะถูกออกแบบมาให้เชื่อมโยงกับสถานการณ์จริงในชีวิตประจำวันเพื่อวัดทักษะการใช้คณิตศาสตร์ในบริบทที่หลากหลาย
วิทยาศาสตร์ (Scientific Literacy)
วิทยาศาสตร์ใน PISA ไม่ได้เน้นเพียงแค่ความรู้ทางวิทยาศาสตร์พื้นฐาน แต่ยังรวมถึงการนำความรู้มาใช้ในสถานการณ์จริง เช่น การวิเคราะห์ผลกระทบของสิ่งแวดล้อม การใช้วิธีวิทยาศาสตร์ในการแก้ปัญหา และการประเมินข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ คำถามในส่วนนี้มีทั้งแบบเลือกตอบและแบบเปิดให้เขียนคำตอบเอง ตัวอย่างคำถาม เช่น การวิเคราะห์ข้อมูลจากการทดลองทางวิทยาศาสตร์หรือการอธิบายปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ คำถามจะเน้นให้ผู้สอบคิดและวิเคราะห์ปัญหาทางวิทยาศาสตร์ที่สามารถพบเจอในชีวิตประจำวัน
คะแนน PISA
คะแนน PISA เป็นผลลัพธ์จากการทดสอบนักเรียนอายุ 15 ปีในสามด้านหลัก คือ การอ่าน การคำนวณ และวิทยาศาสตร์ คะแนนเหล่านี้ถูกนำมาใช้เพื่อเปรียบเทียบประสิทธิภาพของระบบการศึกษาในประเทศต่าง ๆ และยังช่วยระบุจุดแข็งและจุดอ่อนของแต่ละประเทศ คะแนน PISA ถูกประเมินในลักษณะเป็นคะแนนเฉลี่ยของนักเรียนในแต่ละประเทศ โดยมีการจัดลำดับประเทศตามผลการสอบดังกล่าว
การคำนวณคะแนน PISA
คะแนน PISA ถูกคำนวณในลักษณะคะแนนมาตรฐาน โดยมีค่าเฉลี่ยทั่วโลกที่ประมาณ 500 คะแนน และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานอยู่ที่ 100 คะแนน การคำนวณคะแนนนี้ทำให้สามารถเปรียบเทียบผลการสอบระหว่างประเทศได้อย่างแม่นยำ
- การอ่าน (Reading Literacy): คะแนนในส่วนนี้วัดความสามารถในการเข้าใจ การวิเคราะห์ และการประเมินข้อมูลที่อ่านจากแหล่งข้อมูลหลากหลาย
- การคำนวณ (Mathematical Literacy): คะแนนในส่วนนี้วัดทักษะในการแก้ปัญหา การใช้คณิตศาสตร์ในสถานการณ์จริง และการวิเคราะห์ข้อมูล
- วิทยาศาสตร์ (Scientific Literacy): คะแนนในส่วนนี้วัดความสามารถในการเข้าใจและประยุกต์ใช้ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ในการแก้ปัญหาและวิเคราะห์ข้อมูล
ตัวอย่างคะแนน PISA จากบางประเทศ
ในปี 2018 ผลการสอบ PISA ของประเทศต่าง ๆ มีการจัดลำดับดังนี้ (ค่าเฉลี่ยทั่วโลกอยู่ที่ 500 คะแนน)
- การอ่าน
- จีน (เขตปกครองพิเศษปักกิ่ง-เซี่ยงไฮ้-เจียงซู-เจ้อเจียง): 555 คะแนน
- สิงคโปร์: 549 คะแนน
- ฮ่องกง: 524 คะแนน
- การคำนวณ
- จีน (เขตปกครองพิเศษปักกิ่ง-เซี่ยงไฮ้-เจียงซู-เจ้อเจียง): 591 คะแนน
- สิงคโปร์: 569 คะแนน
- ฮ่องกง: 558 คะแนน
- วิทยาศาสตร์
- จีน (เขตปกครองพิเศษปักกิ่ง-เซี่ยงไฮ้-เจียงซู-เจ้อเจียง): 590 คะแนน
- สิงคโปร์: 551 คะแนน
- ฮ่องกง: 517 คะแนน
การสอบ PISA เป็นเครื่องมือที่สำคัญในการวัดผลและพัฒนาการศึกษาในระดับโลก ผลการสอบที่ได้ไม่เพียงแต่สะท้อนความสามารถของนักเรียนแต่ละประเทศ แต่ยังช่วยให้เข้าใจถึงปัจจัยที่ส่งผลต่อความสำเร็จทางการศึกษาและแนวทางในการพัฒนาในอนาคต